สำนวน สุภาษิต คำพังเพย
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561
ความหมายของสำนวนสุภาษิตไทย
สุภาษิต หมายถึง คำพูดที่พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นทำนอง สำนวนโวหาร หรือคำพังเพย แต่มีเนื้อความหรือความหมายที่ดี เป็นคำตักเตือนสั่งสอนและสะกิดใจให้ระลึกถึงอยู่เสมอ คนไทยเรามักหยิบยกคำสุภาษิตมาเป็นตัวอย่างในการอบรมสั่งสอนลูกหลานหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่า หรือบางครั้งใช้แสดงเปรียบเทียบประกอบการสนทนา
สุภาษิตไทย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. คำสุภาษิตประเภทที่พูด อ่านหรือเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย
2. คำสุภาษิตประเภทที่พูด อ่านหรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของความเหล่านั้น
สำนวน หมายถึง โวหาร ทำนองพูด ถ้อยคำที่เรียบเรียง ถ้อยคำที่ไม่ถูกไวยากรณ์แต่รับใข้เป็นภาษาที่ถูกต้อง การแสดงถ้อยคำออกมาเป็นข้อความพิเศษเฉพาะภาษาหนึ่งๆ
สำนวนไทย มีความหมายโดยนัย เป็นลักษณะความหมายเชิงอุปมาเปรียบเทียบ ไม่แปลความหมายตามตัวอักษร จึงฟังแล้วมักจะไม่ได้ความหมายของตัวมันเอง ต้องนำไปประกอบกับบุคคล กับเรื่อง หรือเหตุการณ์จึงจะได้ความหมายเป็นคติเตือนใจ เช่นเดียวกับคำที่เป็นสุภาษิต
ความแตกต่างของสุภาษิตและสำนวน
สุภาษิตจะไม่มีการเสียดสีหรือติชมอย่างคำพังเพย เป็นถ้อยคำที่แสดงหลักความเป็นจริง เป็นที่ยอมรับกันโดย ทั่วๆไป สุภาษิตนี้ยังมีความหมายรวมไปถึง สัจธรรม คำสั่งสอนที่เป็นความจริงอันเที่ยงแท้ทางศาสนาด้วย เช่น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นต้น
ตัวอย่าง
กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี
คำพังเพยที่ว่า ” กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี “ หลายคนคงจะได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยกันมาแล้ว และรู้ว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองหลวงของไทยมาก่อน มีประวัติศาสตร์การสู้รบกับอริราชศัตรูมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และไม่ว่าบ้านเมืองจะมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดศึกสงคราม ก็จะมีวีรบุรุษ วีรสตรีมาคอยปกป้อง ฟื้นฟูบ้านเมือง ตัวอย่างเช่น พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น
ตามตำราหลายๆเล่ม ได้กล่าวถึงที่มาของคำพังเพย ” กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ” ว่า สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า ซึ่งอาจจะมีมาจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้เพราะปรากฏมีหลักฐานในเสภาขุน ช้างขุนแผน ตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพลตอนหนึ่งด้วยว่า ” คนดีไม่สิ้นอยุธยา ” โดยคนดีในมี่นี้หมายถึง คนเก่งหรือผู้มีความสามารถในทางต่อสู้ มีความกล้าหาญ สติปัญญาเป็นเลิศ ที่ช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากเหตุการณ์เลวร้าย
กลิ้งครกขึ้นภูเขา
คำพังเพยไทยที่ว่า ” กลิ้งครกขึ้นภูเขา “ บางคนอาจแปลกใจว่า ทำไมไม่ใช้ “เข็นครกขึ้นภูเขา” ซึ่งจะได้ยินกันบ่อยพอสมควร นั้นจริงๆแล้วไม่ถูกต้อง ต้องใช้คำว่า “กลิ้งครก” ไม่ใช่ “เข็นครก” เพราะครกมีลักษณะกลมต้องพลิกเลื่อนไปจึงต้องใช้คำว่า ” กลิ้ง ”

คลงสุภาษิตประจำภาพในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามอธิบายความหมายว่า
ตนต่ำยศศักดิ์ กูลวงศ์
หมายมุ่งเอาอนงค์ นาฏล้ำ
เหมือนกล้องครกขึ้นตรง เขาสุด สูงนา
เห็นว่าป่วยการการก้ำ กึ่งบ้าเบาหุน
ตนต่ำยศศักดิ์ กูลวงศ์
หมายมุ่งเอาอนงค์ นาฏล้ำ
เหมือนกล้องครกขึ้นตรง เขาสุด สูงนา
เห็นว่าป่วยการการก้ำ กึ่งบ้าเบาหุน
สรุปความหมาย คำพังเพย ” กลิ้งครกขึ้นภูเขา ” นั้นหมายถึง เรื่องที่กำลังจะทำนั้นจะทำให้สำเร็จนั้นทำได้ยากลำบาก ต้องใช้ความพยายามและความสามารถอย่างมาก เปรียบเสมือนการ กลิ้งครกขึ้นภูเขา
อดเปรี้ยวกินหวาน
สำนวนไทยที่ว่า ” อดเปรี้ยวกินหวาน ” สำนวนนี้มักใช้ในการให้หนุ่มสาวอดทนอย่าเพิ่งรีบมีความสัมพันธ์กันเร็วไป ให้รอจนสำเร็จการศึกษาเสียก่อน โดยความหมายทั่วไปหมายถึง การอดทนรอไม่คว้าสิ่งที่ล่อใจอยู่ตรงหน้า เพื่อต่อไปสิ่งนั้นๆจะให้ผลลัพธ์กลับมาที่มีค่ามากยิ่งขึ้น
สํานวน ” อดเปรี้ยวกินหวาน ” สำนวนนี้ได้เปรียบเปรยถึง ผลไม้บางชนิดที่เพิ่งออกผลจะมีรสเปรี้ยว เช่น มะม่วง หากเด็ดผลมากินตอนเพิ่งออกผลจะมีรสเปรี้ยว แต่หากอดทนรอจนมะม่วงสุก แล้วค่อยสอยมากินก็จะได้มะม่วงที่มีรสหวานหอมอร่อย เมื่อทราบถึงที่มาแล้วการแปลความหมายของสำนวนก็แปลได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องท่องจำ
กระต่ายตื่นตูม

ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงอาการตื่นตกใจในเหตุการณ์ที่สรุปขึ้นเองอย่างไม่มีเหตุผล ตื่นตกใจโดยไม่คิดถึงเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ตีตนไปก่อนไข้
จับแพะชนแกะ

ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้ความหมายถึง ทำงานไม่ได้ตามแผนที่วางไว้ แต่เพื่อให้งานสำเร็จ ก็หาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทดแทนไปก่อน เพื่อให้งานผ่านๆไป เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนไม่มีความสมบูรณ์นัก
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : หัวมังกุท้ายมังกร
ที่มาของสํานวน เป็นการเปรียบกับการเอาแพะมาชนกับแกะ เพราะว่าแม้แกะกับแพะเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่ต่างพันธุ์กันทำให้สับสนวุ่นวาย ซึ่งปกติจะไม่เคยมีใครจับคู่มาชนกัน
ที่มาของสํานวน เป็นการเปรียบกับการเอาแพะมาชนกับแกะ เพราะว่าแม้แกะกับแพะเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่ต่างพันธุ์กันทำให้สับสนวุ่นวาย ซึ่งปกติจะไม่เคยมีใครจับคู่มาชนกัน
ตัวอย่าง
บางครั้งคุณก็ต้องรู้จักจับแพะชนแกะเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นงานก็จะไม่เดินหน้า ถ้าต้องรอให้ผมมาแก้ปัญหาให้ตลอด
ได้หน้าอย่าลืมหลัง
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง อย่ามัวชื่นชมในสิ่งที่ได้มาใหม่ จนหลงลืมให้ความสำคัญกับสิ่งเก่าที่เคยใช้ประโยชน์มาก่อน
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : ได้กอบอย่าเสียกำ
ที่มาของสํานวน -
ที่มาของสํานวน -
ตัวอย่าง
คุณพ่อซื้อรถคันใหม่ แต่ท่านก็ไม่ยอมขายรถคันเก่าทิ้ง เพราะท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเท่ากันไม่ว่าจะคันใหม่หรือเก่า ท่านก็ดูแลเป็นอย่างดี คอยเช็ดล้างทำความสะอาด ทำให้รถคันนั้นดูใหม่อยู่เสมอ
พูดเป็นต่อยหอย
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง พูดไม่หยุดปาก
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : พูดจนลิงหลับ
ที่มาของสํานวน : คำว่า ” ต่อย ” ในสำนวนนี้ หมายถึง เอาของแข็งเคาะ ทุบ หรือตีสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แตกหรือหลุดออก สำหรับสำนวนนี้ ต่อยหอย มาจากหอยนางรมที่เกาะอยู่ตามก้อนหิน ชาวประมงจะต่อยเอาตัวหอยนางรมออกมาจากเปลือก โดยใช้ค้อนเล็กๆ เคาะให้เปลือกแตกออก เสียงค้อนที่กระทบเปลือกหอยจะมีดังอยู่เรื่อย ๆ จึงนำมาเปรียบเปรยกับคนที่พูดมากไม่หยุดปาก
ที่มาของสํานวน : คำว่า ” ต่อย ” ในสำนวนนี้ หมายถึง เอาของแข็งเคาะ ทุบ หรือตีสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แตกหรือหลุดออก สำหรับสำนวนนี้ ต่อยหอย มาจากหอยนางรมที่เกาะอยู่ตามก้อนหิน ชาวประมงจะต่อยเอาตัวหอยนางรมออกมาจากเปลือก โดยใช้ค้อนเล็กๆ เคาะให้เปลือกแตกออก เสียงค้อนที่กระทบเปลือกหอยจะมีดังอยู่เรื่อย ๆ จึงนำมาเปรียบเปรยกับคนที่พูดมากไม่หยุดปาก
เอาหูไปนา เอาตาไปไร
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้เรื่องหรือเหตุการณ์นั้นๆผ่านลุล่วงไป
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ที่มาของสํานวน : ลองจินตนาการดูว่า การที่บุคคลเอาหูไปนาที่หนึ่ง และเอาตาไปที่ไร่ที่หนึ่ง ทำให้ร่างกายของบุคคลนั้นไม่สามารถรับรู้เรื่องราวอะไรได้ เพราะไม่มีหูไม่มีตาแล้ว ดังนั้นจึงใช้เปรียบเทียบกับคนที่ทำเป็นไม่สนใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
ที่มาของสํานวน : ลองจินตนาการดูว่า การที่บุคคลเอาหูไปนาที่หนึ่ง และเอาตาไปที่ไร่ที่หนึ่ง ทำให้ร่างกายของบุคคลนั้นไม่สามารถรับรู้เรื่องราวอะไรได้ เพราะไม่มีหูไม่มีตาแล้ว ดังนั้นจึงใช้เปรียบเทียบกับคนที่ทำเป็นไม่สนใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง
- ในบางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง มันอาจจะทำให้เราสบายใจขึ้น
- พรุ่งนี้สมชายมีสอบ เขาจึงรีบกลับบ้านมาอ่านหนังสือ แต่เด็กข้างบ้านเล่นกันเสียงดังมาก สมชายจึงต้องทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
นกน้อยทำรังแต่พอตัว
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง คนเราควรจะทำสิ่งต่างๆตามอัตภาพ ให้พอเหมาะพอสมควรกับฐานะของตน ไม่ควรกระทำเกินฐานะ
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : เจียมเนื้อเจียมตัว
ที่มาของสํานวน : เป็นการเอาธรรมชาติการสร้างรังของนกมาเปรียบเทียบการกระทำของคน นกจะสร้างรังตามขนาดตัวของมัน นกตัวเล็กจะสร้างรังขนาดเล็ก มันจะไม่สร้างรังที่ใหญ่เกินตัวมันมาก
พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย
สำนวนสุภาษิต ” พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย ” , “ พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวตกต่ำ ” , พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวมัวหมอง
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง พูดจาไพเราะอ่อนหวานก็จะเป็นศิริมงคลกับตัวเอง แต่ถ้าหากพูดจาไม่ดีก็จะได้รับอันตรายได้
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากมีสี
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากมีสี
ที่มาของสํานวน -
ตัวอย่าง
วิชัยเป็นพ่อค้าขายอาหารตามสั่ง ใครๆก็ชอบมากินอาหารที่ร้านของเขา ทำให้เขาขายดีมีลูกค้าเยอะ เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว เขายังเป็นคนพูดจาไพเราะทั้งต่อหน้าและลับหลังลูกค้าทำใจลูกค้าติดใจ ตรงกับสำนวนสุภาษิตไทยที่ว่า พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)