วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561



ตัวอย่าง

กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี


  คำพังเพยที่ว่า ” กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี “  หลายคนคงจะได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยกันมาแล้ว และรู้ว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองหลวงของไทยมาก่อน มีประวัติศาสตร์การสู้รบกับอริราชศัตรูมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และไม่ว่าบ้านเมืองจะมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดศึกสงคราม ก็จะมีวีรบุรุษ วีรสตรีมาคอยปกป้อง ฟื้นฟูบ้านเมือง ตัวอย่างเช่น พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น

สุภาษิต

ตามตำราหลายๆเล่ม ได้กล่าวถึงที่มาของคำพังเพย ” กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ” ว่า สำนวนคำพังเพยประโยคนี้เป็นสำนวนเก่า ซึ่งอาจจะมีมาจากครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้เพราะปรากฏมีหลักฐานในเสภาขุน ช้างขุนแผน ตอนเถรกวาดแก้แค้นพลายชุมพลตอนหนึ่งด้วยว่า ” คนดีไม่สิ้นอยุธยา ” โดยคนดีในมี่นี้หมายถึง คนเก่งหรือผู้มีความสามารถในทางต่อสู้ มีความกล้าหาญ สติปัญญาเป็นเลิศ ที่ช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากเหตุการณ์เลวร้าย




 กลิ้งครกขึ้นภูเขา

    คำพังเพยไทยที่ว่า ” กลิ้งครกขึ้นภูเขา “  บางคนอาจแปลกใจว่า ทำไมไม่ใช้  “เข็นครกขึ้นภูเขา” ซึ่งจะได้ยินกันบ่อยพอสมควร นั้นจริงๆแล้วไม่ถูกต้อง ต้องใช้คำว่า “กลิ้งครก” ไม่ใช่ “เข็นครก” เพราะครกมีลักษณะกลมต้องพลิกเลื่อนไปจึงต้องใช้คำว่า ” กลิ้ง ”

กลิ้งครกขึ้นภูเขา


คลงสุภาษิตประจำภาพในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามอธิบายความหมายว่า

ตนต่ำยศศักดิ์                      กูลวงศ์
หมายมุ่งเอาอนงค์               นาฏล้ำ
เหมือนกล้องครกขึ้นตรง   เขาสุด สูงนา
เห็นว่าป่วยการการก้ำ        กึ่งบ้าเบาหุน
สรุปความหมาย คำพังเพย  ” กลิ้งครกขึ้นภูเขา ” นั้นหมายถึง เรื่องที่กำลังจะทำนั้นจะทำให้สำเร็จนั้นทำได้ยากลำบาก ต้องใช้ความพยายามและความสามารถอย่างมาก เปรียบเสมือนการ กลิ้งครกขึ้นภูเขา


อดเปรี้ยวกินหวาน


    สำนวนไทยที่ว่า ” อดเปรี้ยวกินหวาน ” สำนวนนี้มักใช้ในการให้หนุ่มสาวอดทนอย่าเพิ่งรีบมีความสัมพันธ์กันเร็วไป ให้รอจนสำเร็จการศึกษาเสียก่อน โดยความหมายทั่วไปหมายถึง การอดทนรอไม่คว้าสิ่งที่ล่อใจอยู่ตรงหน้า เพื่อต่อไปสิ่งนั้นๆจะให้ผลลัพธ์กลับมาที่มีค่ามากยิ่งขึ้น


อดเปรี้ยวกินหวาน


     สํานวน ” อดเปรี้ยวกินหวาน ” สำนวนนี้ได้เปรียบเปรยถึง ผลไม้บางชนิดที่เพิ่งออกผลจะมีรสเปรี้ยว เช่น มะม่วง หากเด็ดผลมากินตอนเพิ่งออกผลจะมีรสเปรี้ยว แต่หากอดทนรอจนมะม่วงสุก แล้วค่อยสอยมากินก็จะได้มะม่วงที่มีรสหวานหอมอร่อย เมื่อทราบถึงที่มาแล้วการแปลความหมายของสำนวนก็แปลได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องท่องจำ




กระต่ายตื่นตูม


สุภาษิต



ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงอาการตื่นตกใจในเหตุการณ์ที่สรุปขึ้นเองอย่างไม่มีเหตุผล ตื่นตกใจโดยไม่คิดถึงเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : ตีตนไปก่อนไข้

จับแพะชนแกะ
สำนวนสุภาษิต
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้ความหมายถึง ทำงานไม่ได้ตามแผนที่วางไว้ แต่เพื่อให้งานสำเร็จ ก็หาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทดแทนไปก่อน เพื่อให้งานผ่านๆไป  เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนไม่มีความสมบูรณ์นัก
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : หัวมังกุท้ายมังกร

ที่มาของสํานวน เป็นการเปรียบกับการเอาแพะมาชนกับแกะ เพราะว่าแม้แกะกับแพะเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่ต่างพันธุ์กันทำให้สับสนวุ่นวาย ซึ่งปกติจะไม่เคยมีใครจับคู่มาชนกัน
ตัวอย่าง
บางครั้งคุณก็ต้องรู้จักจับแพะชนแกะเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบ้าง ไม่เช่นนั้นงานก็จะไม่เดินหน้า ถ้าต้องรอให้ผมมาแก้ปัญหาให้ตลอด

ได้หน้าอย่าลืมหลัง
สุภาษิต
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง อย่ามัวชื่นชมในสิ่งที่ได้มาใหม่ จนหลงลืมให้ความสำคัญกับสิ่งเก่าที่เคยใช้ประโยชน์มาก่อน
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : ได้กอบอย่าเสียกำ

ที่มาของสํานวน -
ตัวอย่าง
คุณพ่อซื้อรถคันใหม่ แต่ท่านก็ไม่ยอมขายรถคันเก่าทิ้ง เพราะท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเท่ากันไม่ว่าจะคันใหม่หรือเก่า ท่านก็ดูแลเป็นอย่างดี คอยเช็ดล้างทำความสะอาด ทำให้รถคันนั้นดูใหม่อยู่เสมอ

พูดเป็นต่อยหอย
พูดเป็นต่อยหอย
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง พูดไม่หยุดปาก
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : พูดจนลิงหลับ

ที่มาของสํานวน :  คำว่า ” ต่อย ” ในสำนวนนี้ หมายถึง เอาของแข็งเคาะ ทุบ หรือตีสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แตกหรือหลุดออก  สำหรับสำนวนนี้ ต่อยหอย มาจากหอยนางรมที่เกาะอยู่ตามก้อนหิน ชาวประมงจะต่อยเอาตัวหอยนางรมออกมาจากเปลือก โดยใช้ค้อนเล็กๆ เคาะให้เปลือกแตกออก  เสียงค้อนที่กระทบเปลือกหอยจะมีดังอยู่เรื่อย ๆ จึงนำมาเปรียบเปรยกับคนที่พูดมากไม่หยุดปาก

 เอาหูไปนา เอาตาไปไร

เอาหูไปนา เอาตาไปไร่

ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้เรื่องหรือเหตุการณ์นั้นๆผ่านลุล่วงไป
สำนวนสุภาษิตที่คล้ายคลึงกัน : เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

ที่มาของสํานวน : ลองจินตนาการดูว่า การที่บุคคลเอาหูไปนาที่หนึ่ง และเอาตาไปที่ไร่ที่หนึ่ง ทำให้ร่างกายของบุคคลนั้นไม่สามารถรับรู้เรื่องราวอะไรได้ เพราะไม่มีหูไม่มีตาแล้ว ดังนั้นจึงใช้เปรียบเทียบกับคนที่ทำเป็นไม่สนใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง
- ในบางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง  มันอาจจะทำให้เราสบายใจขึ้น
- พรุ่งนี้สมชายมีสอบ เขาจึงรีบกลับบ้านมาอ่านหนังสือ แต่เด็กข้างบ้านเล่นกันเสียงดังมาก สมชายจึงต้องทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

นกน้อยทำรังแต่พอตัว 
นกน้อยทำรังแต่พอตัว
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง คนเราควรจะทำสิ่งต่างๆตามอัตภาพ ให้พอเหมาะพอสมควรกับฐานะของตน ไม่ควรกระทำเกินฐานะ
สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : เจียมเนื้อเจียมตัว
ที่มาของสํานวน : เป็นการเอาธรรมชาติการสร้างรังของนกมาเปรียบเทียบการกระทำของคน นกจะสร้างรังตามขนาดตัวของมัน นกตัวเล็กจะสร้างรังขนาดเล็ก มันจะไม่สร้างรังที่ใหญ่เกินตัวมันมาก

พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย 
    สำนวนสุภาษิต ” พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย ” , “ พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวตกต่ำ ” , พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวมัวหมอง
พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย
ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง พูดจาไพเราะอ่อนหวานก็จะเป็นศิริมงคลกับตัวเอง  แต่ถ้าหากพูดจาไม่ดีก็จะได้รับอันตรายได้

สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่คล้ายคลึงกัน : พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากมีสี
ที่มาของสํานวน -
ตัวอย่าง
วิชัยเป็นพ่อค้าขายอาหารตามสั่ง ใครๆก็ชอบมากินอาหารที่ร้านของเขา ทำให้เขาขายดีมีลูกค้าเยอะ เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว เขายังเป็นคนพูดจาไพเราะทั้งต่อหน้าและลับหลังลูกค้าทำใจลูกค้าติดใจ ตรงกับสำนวนสุภาษิตไทยที่ว่า พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วพาตัวเสียหาย





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น